ชัชชาติ แจงละเอียดปม บ้าน 72 ล้านที่สหรัฐฯ ชี้เป็นเงินจากมรดก เผยปัจจุบัน โอนให้แสนปิติ ลูกชายแล้ว พร้อมแสดงหลักฐานทุกขั้นตอน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ออกมาชี้แจงหลังจากที่กระแสในสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ภาพบ้านของชัชชาติที่สหรัฐฯ โดยเป็นบ้านเดี่ยวหรู ขนาดสองชั้น 4 ห้องนอน และ 3 ห้องน้ำ มีสวนหย่อมหน้าบ้าน ราคา 72 ล้านบาท
โดยนาย ชัชชาติ กล่าวยอมรับ ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์
ว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านที่อยู่ภายใต้ชื่อของ นายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ บุตรชาย โดยบ้านหลังนี้ได้รับการโอนจากนางปรมินทร์ทิยา สิทธิพันธุ์ ภรรยาและแม่ของแสนปิติ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการประเมินราคาจากฐานภาษี ที่ 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 58 ล้านบาท ขณะที่ราคาในท้องตลาดอยู่ที่ 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 72 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามเมื่อ 7 ปีที่แล้ว นางจิตต์จรุง สิทธิพันธุ์ แม่ของชัชชาติ ได้มอบมรดกที่ดินพระราม 4 คนละ 1 ไร่ กับ นายแพทย์ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ซึ่งเคยแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปแล้ว โดยมอบที่ดินส่วนนี้ให้กับลูกชายตั้งแต่แรก แต่เนื่องจากนายแสนปิติยังไม่บรรลุนิติภาวะ
จากนั้นมีคนขอเข้าซื้อที่ดินบริเวณนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่นายแสนปิติย้ายไปเรียนที่สหรัฐพอดี โดยมีการวิเคราะห์ว่า อสังหาริมทรัพย์ขณะนั้นที่สหรัฐยังไม่แพงมาก โดยเอานำเงินนี้ไปลงทุนให้เขา ซึ่งเงินที่ขายที่ดินได้กับเงินที่ซื้อบ้านมีมากพอ จนตัดสินใจซื้อด้วยราคา 1.4 ล้านเหรียญ (ประมาณ 49 ล้านบาท) โดยใส่เป็นชื่อของนางปรมินทร์ทิยา สิทธิพันธุ์ มารดา เนื่องจากนายแสนปิติยังไม่บรรลุนิติภาวะ
เมื่อนายแสนปิติเรียนจบ มีความคิดว่าจะขายบ้านหลังนี้ แต่ได้รับคำแนะนำจากนายหน้าขายบ้านว่า ให้โอนเป็นชื่อนายแสนปิติก่อนด้วยเหตุผลเรื่องภาษี ซึ่งก็ทำการโอนตามขั้นตอนปกติ โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถดูได้หลักฐานได้บนออนไลน์ ขอบคุณที่ให้โอกาสชี้แจง โดยมีหลักฐานตั้งแต่การยื่นที่ดินต่อ ป.ป.ช. หลักฐานการโอนที่ดินให้ลูก หลักฐานที่ศาลให้ดูแลเงินก้อนนี้ เพราะเขายังเด็ก ยังไม่บรรลุนิติภาวะ การซื้อการโอนที่มีชื่อปรากฏทั้งหมด
“ของอเมริกามันดี มีการบันทึกข้อมูลที่เป็นสาธารณะ สามารถตรวจสอบได้ว่าซื้อเท่าไหร่ บังเอิญเราไม่ได้ชี้แจง ซึ่ง 8 ปีที่ผ่านมา เราไม่ได้อยู่ในการเมืองจึงไม่มีข้อมูลเหล่านี้บันทึกอยู่ โดยไม่ได้มีความกังวลในส่วนเรื่องการตรวจสอบ อยู่ในจุดนี้พร้อมให้ตรวจสอบ แต่กังวลเรื่องความปลอดภัย ขออย่าเผยแพร่รายละเอียดที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัว เป็นเรื่องความปลอดภัย หากต้องการส่งต่อรบกวนให้ช่วยลบที่อยู่ออก”
เมื่อถามว่าการโอนชื่อบ้านหลังนี้ให้นายแสนปิติ ก่อนเลือกตั้งไม่กี่วัน นายชัชชาติตอบว่า ไม่เคยคิดจะขายบ้าน เมื่อเขาเรียนจบ เมื่อคิดว่าจะขายบ้าน นางปรมินทร์ทิยาไม่ได้อยู่ที่สหรัฐต่อเนื่องนานกว่า 2 ปี หากขายจะทำให้ต้องเสียภาษีที่แพงขึ้น โดยได้รับคำแนะนำมาว่าให้โอนบ้านไปเป็นนายชื่อของนายแสนปิติก่อน หากนายแสนปิติเรียนต่อ หรืออยู่ต่อเกิน 2 ปี จะทำให้สามารถลดภาษีได้สูงสุดกว่า 20% ซึ่งนายแสนปิติก็เป็นเจ้าของที่แท้จริง ไม่ใช่ข้อมูลที่ต้องปกปิดอะไร
‘อนุทิน’ โทรคุยเคลียร์กับ ‘ชัชชาติ’ ปม เสพกัญชาตาย
อนุทิน เผยโทรคุยกับ ชัชชาติ ปม เสพกัญชาตาย 1 ศพ ชมสปิริตดี แจ้งนักข่าวเมื่อมีข้อมูลใหม่ ยังไม่มั่นใจว่าจะชันสูตรศพผู้ตายหรือไม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตจากการเสพกัญชาเกินขนาด ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ทราบเหตุผลการเสียชีวิตที่ชัดเจนนั้น
ล่าสุดนายอนุทินกล่าวถึงการเสียชีวิตเพราะเสพกัญชาว่า “หากเราต้องไปชันสูตร สงสารญาติเขาหรือไม่ คนเขามีความทุกข์ญาติมีความทุกข์อยู่แล้ว อีกอย่างระหว่างบันทึกไปว่าเสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลว กับบันทึกว่าเสียชีวิตเพราะเสพกัญชามันต่างกัน สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเอามาเล่น การสูญเสียทุกชีวิตน่าเสียใจอยู่แล้ว สธ.เห็นคุณค่าของชีวิต เราเอากัญชามาช่วยชีวิต ไม่ได้เอามาให้เขาเสียชีวิต”
นอกจากนี้นาย อนุทิน ยังได้เปิดเผยอีกด้วยว่าตนได้พูดคุยกับนาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพ เพื่อทำความเข้าใจ และระบุว่า ท่านก็มีสปิริตดีก็ให้ข่าวบอกว่าไม่ได้เสียชีวิตจากการเสพกัญชา ส่วนรายละเอียดของผู้เสียชีวิตนั้นก็ขอให้สอบถามทางการแพทย์ที่จะมีวิธีการชันสูตรหรือไม่ก็เป็นไปตามกฎหมาย
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีรายงานผู้เสียชีวิตเช่นนี้อีกจะต้องมีการชันสูตรหรือไม่ ซึ่ง รองนายกฯ ก็ระบุว่า ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งทำไมก่อนหน้านี้ไม่มีกรณีการเสียชีวิตจากการเสพกัญชาโดยตรงแบบนี้ ตรงนี้เราก็ต้องไปดูสาเหตุของการเสียชีวิต เหมือนอย่างคนที่เสียชีวิตจากโควิด-19 ต้องไปดูว่ามีโรคแทรกซ้อนที่ไปเร่งให้เกิดอาการมากขึ้นหรือไม่
ก่อนหน้านี้ นายชัชชาติกล่าวว่า “การชันสูตรยังไม่ชัดเจน ก็เป็นข้อมูลให้รับทราบว่ามันมีความเสี่ยงตรงนี้ให้ระวัง กรณีเคสคนที่เสียชีวิต เมื่อวานนี้ (14 มิถุนายน) สำนักการแพทย์ยังไม่ได้ทำการชันสูตรที่ละเอียดนักว่าเสียชีวิตจากโรคประจำตัว หรืออะไร ต้องไปดูอีกทีว่าสาเหตุการตายคืออะไร สิ่งที่ กทม.ทำคือต้องเฝ้าระวัง เราต้องทำตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ได้ขัดข้องนโยบายจากรัฐบาล ในฐานะผู้ปฏิบัติ เราต้องระวังตัว เตรียมการด้านสาธารณสุขให้พร้อม”
Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่าง